สวัสดีนักเดินทาง
วันนี้พวกเรา Be Traveler นำทีมมิตรรักแฟนเพลงของพวกเราเดินทางสู่ เขาสก หรือ เขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) จังหวัดสุราฎร์ธานี ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก โดยพวกเราเดินทางโดยเครื่องบิน กรุงเทพ – สุราฎร์ธานี แล้วเช่ารถตู้จากสนามบินมาที่ ท่าเรือเทศบาลเขื่อนเชี่ยวหลาน … ก่่อนเข้าท่าเรือก็แวะชมภาพสันเขื่อนก่อน เป็นน้ำจิ้มๆ
เขื่อนรัชชประภา มีชื่อเรียกดั้งเดิมว่า เขื่อนเชี่ยวหลาน เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งที่สองของภาคใต้ อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อก่อนสร้างแล้วเสร็จได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานนามให้ใหม่ว่า “เขื่อนรัชชประภา” มีความหมายว่า “แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร” ซึ่งเขื่อนเชี่ยวหลานเป็นเขื่อนที่ก่อสร้างขึ้นมาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 เพื่อช่วยอำนวยประโยชน์ในด้านสังคม เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติโดยใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการชลประทานและการผลิตกระแสไฟฟ้า
นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับฉายาว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองไทย เพราะมีความสวยงามของเทือกเขาหินปูนที่เหมือนกันกับกุ้ยหลินที่ประเทศจีน
บริเวณสันเขื่อน ถือว่าเปิดตัวได้ดีทีเดียว….
นั่งรถไปต่อกันที่ ท่าเรือเทศบาลเขื่อนเชี่ยวหลาน เพื่อไปขึ้นเรือของที่พัก.. แพสายชล (แพราคาดี คิดเป็น Package ต่อคน 3 วัน 2 คืน ที่พัก+อาหารเช้ากลางวันเย็น+พาเที่ยวถ้ำ) สนใจติดต่อ แพสายชล
ระหว่างทางนั้น ….. สุดจะบรรยาย ท้องฟ้าว่าสีสดแล้ว ยังสู้สีของน้ำไม่ได้ ….
แพสายชลจากระยะทาง และสายตาที่นั่งเรือผ่านที่พักหลายที่นั้น ก็ประเมินโดยส่วนตัวว่าอยู่ลึกพอสมควร ซึ่งจะเป็นส่วนตัวและทำให้เราได้สัมผัสธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และก็ต้องแลกมาด้วย การไร้ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์ 555+ ก็เรามาพักผ่อน มาโดดน้ำ สมาชิกมัวแต่มากดแชทๆ ก็ไม่โอเค๊เนอะ ดังนั้น ไม่เรียกว่าเป็นข้อเสียเนอะ…
ปล. สัญญาณอ่ะมีแต่ต้องพายเรือออกมาหาเอง 555+
ถึงแล้ว…. แพสายชล (บ้านพักเราอยู่ด้านขวาสุด 3 หลังสุดท้ายติดกับบ้านหลังใหญ่สีขาว)
จากนั้น ความสนุกก็เกิดขึ้น ….. ไม่มีรูปภาพประกอบนะจ๊ะ อยากเห็น เก็บกระเป๋ามากันเองนะ…55+
ขอตัดภาพมายามเช้าของวันที่ 2 ณ.แพสายชล กับบรรยากาศของสายหมอกที่มาต้อนรับเรา
กินข้าวเช้า… แล้วคนขับเรือประจำเรือของเราก็พาไปนั่งเรือออกไปชมหมอก…. โอ้ บรรยากาศคือดีย์
หยุดเรือ ตรงไหน ตะโกนบอกตามอัธยาศัย …. แชะไปเลย รอได้ ชิวมากกก
กลับมาที่พัก พักผ่อนตามอัธยาศัย ก็ต้องขอตัดภาพ ขอตัวไปโดดน้ำนะจ๊ะ….
พอบ่ายออกไปพบกับภูเขาหินปูนที่เป็นไฮไลต์ที่ห้ามพลาดชมเด็ดขาดก็มี “เขาสามเกลอ” เป็นยอดเขาเล็กๆ 3 ยอดโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ถือว่าเป็นจุดยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต้องมาถ่ายรูปคู่ด้วย จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเขื่อนรัชชประภาแห่งนี้ และที่ใกล้ๆ กับเขาสามเกลอเป็นที่ตั้งของ “เขาอินเดียนแดง” ตั้งชื่อตามลักษณะรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายอินเดียนแดง ซึ่งต้องใส่จินตนาการในการดู แล้วยังมี “หน้าผาหญิงสาว” เป็นภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ที่มีร่องรอยตามธรรมชาติปรากฏ ให้เห็นเป็นรูปภาพคล้ายหญิงสาว 2 คน อยู่บนหน้าผา ที่ก็ต้องใช้จินตนาการของแต่ละคนในการมอง
เขาสามเกลอ กับเธอ…. นางแบบสุดน่ารักของพ่อบ้านและแม่บ้าน
สมาชิกรอบนี้ …. คือทีมงานของ Be Traveler
เรือก็ลัดเลาะไปตามซอกระหว่างยอดเขาที่โผล่ขึ้นมา นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราก็ฟังไกด์ส่วนตัวที่ทำหน้าที่ขับเรือด้วยอย่างตั้งใจ และจินตนาการเพราะพี่เขาบอกว่ามันเป็นศิลปะที่ให้จะมองยังไง …
อ่ะศิลปะตก ทำไงล่ะที่นี้ 555 อ่ะโชว์คนขับเรือสุดหล่อหน่อย …
จากนั้นเดินทางกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวไปเดินป่า นั่งแพเปียก ปีนเขา ชมถ้ำกัน ….
เดินไกลไหม …. จำไม่ได้ บอกไม่ถูก แต่รู้ว่าหอบ 55+ โดยอธิบายนิด คือคนเรือจะพาเราไปส่งที่ตีนเขาฝั่งหนึ่ง ให้เราเดินข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งเพื่อไปขึ้นแพเปียกเพื่อล่องไปที่ถ้ำ หรือที่คนที่นี้เขาเรียกกันว่า การเดินป่าข้ามเนินเขา 1.5 กม. และแพเปียกที่แม่บ้านเรียกคือการล่องแพไม้ไผ่ ไปเดินป่าที่ถ้ำน้ำทะลุ ระยะทางกว่า 700 ม. อ่ะตามนี้ ชมภาพกัน…
ท่าเรือ หรือ เรียกท่าแพดี 55+
แพที่นั่ง ก็ ไม่ตามสุภาษิตนะจ้าาา มือไม่พาย ที่นี้เขาให้เขาเท้าลาน้ำได้ 555+
จะนั่ง จะยืน นางแบบจะโพสกี่ท่า ก็จัดไปจ้าาาา จากนั้นก็ปีนขึ้นถ้ำกัน ถ้ำน้ำทะลุ
บรรยากาศภายในถ้ำก็มีคนนำทาง คอยอธิบายรูปทรงของหินงอกหินย้อยภายในถ้ำ พวกเราก็เก็บภาพบรรยากาศมาให้ชมเนอะ
ออกจากถ้ำน้ำทะลุก็ล่องแพไม้ไผ่กลับไปที่ท่าแพอีกครั้ง แล้วเดินข้ามเขาไปขึ้นเรือกลับที่พัก
เช้าวันใหม่ วันสุดท้ายของทริป วันนี้หมอกสวยกว่าเมือวานอีก…
ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปที่ประทับใจที่สุดอีกทริป ใครที่อยากจะพักผ่อนกับคนที่คุณรัก พวกเราแนะนำที่นี้เลย ..
เป็นคนไทยลองมาเที่ยวที่นี้ดูสักครั้ง แล้วคุณจะรู้ว่า เมืองไทยนั้นสวยเสมอและตลอดกาล…
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
Be Traveler