สวัสดีนักเดินทาง
การเดินทางของพวกเรา Be Traveler ในปี 2018 เริ่มต้นกับทริปมหึมาที่สุดที่เคยไปมา … นั้นคือ
ภูสอยดาว
ต้องออกตัวก่อนเลยว่า พวกเราเป็นนักท่องเที่ยวสาย 3 ส. คือ สายสวยงาม สายสะดวก และ สายสบาย ดังนั้นการเดินทางมาที่นี้นั้น เป็นการท้าทายกับชีวิตและจิตใจของพวกเรามาก แต่เราอยากจะลองสักครั้ง … หลายคนถามว่า มือใหม่นาดนี้ ทำไมถึงเลือกภูสอยดาว …. อุทยานแห่งชาติบนเทือกเขาที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย และติด 1 ใน 9 แห่งสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวเมืองไทย (สุดยอด ในที่นี้คือ ระบมสุดยอด)
คำตอบ ก่อนไป… คือ สวย คนไม่เยอะ ไม่มีอะไรอยากโดนแบบดิบๆ แต่ก็ยังปราณีตัวเองโดยการเลือกช่วงเวลาไปให้ไม่ต้องเจอสายฝน เพราะว่ามันคงจะลำบากคูณสอง นั้นคือ 12 – 14 มกราคม 2561 แต่หารู้ไหมว่า มันเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของการท่องเที่ยว หรือที่เขาเรียกกันว่า การปิดภู ….
เราเดินทางด้วยรถตู้จากกรุงเทพตั้งแต่กลางคืนเพื่อมาสว่างที่ตีนภูด้วยสัมภาระที่มากมาย พร้อมสโลแกนในหัวว่า “ไปให้สุดแล้วหยุดที่จ่ายเงินลูกหาบ” เพราะคิดว่า มันจะเดินเหนื่อยแค่ไหน ไปข้างบนขอความสบายทดแทนกันบ้าง… คนอ่านท่านใดจะมองว่าบ้าหอบฟาง พวกเราก็ไม่โกรธเนอะ เพราะเป็นเรื่องจริง….
เมื่อมาถึงล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อพร้อมเดินทาง แล้วก็เตรียมสเบียงได้แก่อาหาร น้ำดื่ม หล่อเลี้ยงชีวิตระหว่างทางเดินขึ้น รวมทั้งซื้อน้ำกินเป็นแพ็คขึ้นไป (ตอนแรกคิดว่าจะไปรับน้ำฝนข้างบนตามมรีวิวที่เขาบอกกันว่ามีน้ำฝน แต่ด้วยความมือใหม่ก็ยังโชคดีที่เอ่ยปากถามเหล่าบรรดามืออาชีพที่เขาขึ้นกันหลายๆรอบถึงเรื่องน้ำ ได้คำตอบว่า ก็ต้องทนกินนะ…. เปลี่ยนใจ ซื้อคะ..
จากนั้นก็มาลงทะเบียนตามระเบียบ ใครอยากจะเช่าอะไรก็เช่าตรงนี้ แต่รับของข้างบน สำหรับพวกเราเช่าแค่ขัน ถัง เตาถ่าน และถ่าน นอกนั้น ไม่เช่าอะไรเลย เพราะข้าเอามาเองหมด 555+
ได้เวลาของการชั่งน้ำหนัก กฎก็มีอยู่ว่า ขาขึ้น น้ำหนัก คูณ 30 บาท ขาลง ก็ต้องชั่ง คูณ 30 เช่นกัน …. ส่วนค่าน้ำหนักของพวกเรานั้น ขอให้เราเก็บตัวเลขนั้นไว้ในความทรงจำจะดีกว่า … ส่วนใครอยากจะขึ้นยอด 2100 หรือที่เขาเรียกว่ายอดภูนั้น ก็ชำระกันตรงนี้อีกคนละ 500 บาท … ในช่วงเริ่มต้นนั้น พวกเราก็จ่ายไปคะ อ่านไปเรื่อยๆก็จะต้องมีตอนจบเนอะ รอชม..
ชั่งน้ำหนักเรียบร้อย ของพร้อม คนพร้อมป่ะ ขึ้นรถยอดฮิตของที่นี้กัน อีต๊อก.. ไปที่ทางขึ้นภูกัน จะนั่งห้อยขา นั้งท้ายนั่งหน้าเลือกเอาได้ตามสะดวก ระหว่างทางไป คนกรุงเทพนี้ตื่นเต้นน่าดู…
ป่ะ…เริ่มต้นเดินกันเลย หลักจากนี้บรรยายน้อยๆ ให้ภาพมันเล่าเรื่องแล้วกัน ทุกภาพ คือความสวยงาม ความทรมาน ความพยายาม และความทรงจำโดยระหว่างการเดินขึ้นนั้น เราได้เรียนรู้สิ่งนั้นตลอดทางเลย …. ว่า พวกกูมาทำไม 555+ นี่คือแผนการเดินทางบนภู ก่อนอื่นต้องขอบคุณรูปภาพจาก www.phudoilay.com ที่ทำออกมาได้ชัดเจนสุดๆ โดยระยะทางการเดินคือ 6.5 กม. ทั่วไปใช้เวลาเฉลี่ย 4-6 ชม. นี่ถึงลานกางเต้นท์หรือที่เรียกกันว่า ลานสนสามใบภูสอยดาว …. พวกเราออกเดินทางประมาณ 9 โมงเช้า ป่ะเดินกัน
ทักทายก่อนขึ้นคือ น้ำตกภูสอยดาว …
เส้นทางเริ่มต้นกับน้องเสื้อแดง และกระเป๋าสำหรับเดินพารากอน 555+ คือ … เดินมาไกลมากแแล้ว ก็ยังไม่พบเจอเนินส่งญาติ แต่สีหน้าก็ยังไม่เท่าไหร่…. จนกระทั่ง ถึงที่นี้ เนินส่งญาติ แต่ตอนนี้ คืออยากเดินกลับไปพร้อมญาติ 555+ ป่ะเดินต่อ……………………………….
คือปราบเซียนจริงๆ ………… อธิบายไม่ถูกต้องมาลองเอง ระหว่างทาง คนกรุงอย่างเราก็เอาธรรมชาติบำบัดและสร้างแรงใจ เนินป่าก่อ …. พี่จะเป็นลม 5555+……………………… แต่วิวตรงจุดพักเหนื่อยก็เป็นยาหอมให้พี่ได้บ้างง
เนินต่อมา เนินเสือโคร่ง ไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรถึงชื่อนี้ แต่เมื่อผ่านเนินนี้ไป ก้มมองมือตัวเอง อ๋อ พวกเราขอให้ความหมายนะ… เพราะเราต้องปีนมันด้วย 2 ขา และ 2 มือ ของเราคลานขึ้นเมื่อเสือโคร่ง นั้นเอง 55+ หลังจากเราสวมวิญญาณความเป็นเสือโคร่งก็มาแวะชมวิวกันสักหน่อย…
รูปหมู่ … น้องเสื้อแดงคงไม่เหนื่อย 555+ ป่ะเดินกันต่อเพราะเหล่าบรรดาเพื่อนร่วมทางเขาบอกว่า วิวข้างบนสวยกว่านี้
ระหว่างทาง ก็จะเดินผ่าน ฮีโร่ภูสอยดาวของพวกเรา …. พี่ลูกหาบสุดแกร่ง
พักสักแป๊ป ให้ทำใจกันก่อนเพราะเขาบอกว่า เราจะต้องไปบนยอดเขานั้น ….. กับจุดสุดท้าย เนินมรณะ สภาพเป็นยังไงนั้น ตากล้องขอเลือกระวังชีวิตตัวเองก่อน จึงถ่ายรูปมาน้อยมาก… ต้องขออภัย ส่วนพี่คนนี้นั้นเกินบรรยาย…
ระหว่างทางขึ้นนั้นหมอกจัดมาก แต่ก็มีเปิดบ้างบางจังหวะ
สิ้นสุดเนินมรณะแล้ว……..จากจุดนี้ก็ต้องเดินไปลานสนอีกนะ ถ่ายรูป เพื่อเป็นที่ระทึกว่า มันระทึกจริงๆ มันโหดจริงๆ แต่ดูด้านหลังสิ มันสวยจริงๆเช่นกัน…… และคำตอบของทุกคน ณ.จุดนี้ พูดพร้อมกันคือ ยอดภูสอยดาว 2100 คงขอเงินคืน เพราะเราคงมาไกลมากล่ะ 555+
อวสานยอดภู…………………………
เดินต่อไป ลานกางเต้นท์ เดินผ่านทางเข้า น้ำตกสายทิพย์ ….. แต่มันแห้งนะ ณ.วันที่เราไป
ถึงแล้ว ………….
เมื่อขึ้นไปถึงก็ประมาณ 15.30 ก็เดินไปแค่ 6 ชั่วโมงเอง …………. ขึ้นไปก็รอลูกหาบ รับของที่เช่าไว้แต่เมื่อไปถึงมุ่งหน้าหาห้องน้ำ ลำธาร เพื่ออยากที่จะอาบน้ำ แต่คำตอบที่ได้คือ น้ำมีน้อยโดยเราจะใช้น้ำจากน้ำที่เราออมไว้ เนื่องจากน้ำในลำธารแห้ง .. ส่วนห้องน้ำก็เลอะมากจนต้องปิด เพราะเราไม่มีน้ำล้าง เลยอยากให้ทุกคนงดการอาบน้ำ ห่ะ!! ส่วนห้องน้ำก็ใช้ร่วมกันคือห้องน้ำของเจ้าหน้าที่ที่มีห้องเดียว เป็นไงดิบม่ะ…. ลูกหาบมาแล้ว…………….. เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หนีเสือปะจรเข้ …. หนีฝน ก็ต้อง เจอแบบนี้ และที่สำคัญ มกราคม .. ร่างกายต้องการลมหนาวววว …. คือหนาวมากกก ระหว่างรอลูกหาบที่หาบสัมภาระของเราขึ้นมานั้น คือเรียกร้อง หากองไฟและแสงแดด…. เมื่อลูกหาบมานั้นก็หาที่กางเต้นท์ หุงข้าว จัดสรรตัวเอง และสุดท้ายอาบน้ำด้วยทิชชู่เปียก 55+
พื้นที่ของเจ้าหน้าที่ + และแหล่งน้ำที่เรามี… วิธีการคือ ถัง รอง และ แบก 555+
แต่ความลำบากนั้น แลกมาด้วยความสวยงามที่พวกเราลงความเห็นกันว่า ถ้ามันมาสบาย มันก็คงไม่สวยแบบนี้ อย่างบรรยากาศโดยรอบบนลานกางเต้นท์นี้ คือดีย์
แต่สถานที่พักพวกเรา ไม่ธรรมดานะจ๊ะ สมกับราคาลูกหาบที่แสนจะอลังการ…… บริเวณที่ตั้งเต้นท์ของเราอยู่สะริมสุด หันหน้าเข้าหาวิวเบื้องหน้า หันหลังให้ชาวบ้านเพื่อสรา้งความเป็นส่วนตัว 55+ (ความจริงคือ อายเขา พวกหนูเสียงดัง 55+)
วิวหน้าเต้นท์…………. ดีงาม สำหรับคืนแรก รีบทำอาหารกิน + อาบน้ำแห้ง จบด้วยกิจกรรมแค้มปิ้งสุดท้าย คือการคิดเลขเร็ว… แล้วเข้านอน ส่วนเรื่องอากาศหนาวนั้น ไม่บรรยาย เพราะ หนาวในอุณหภูมิเลขตัวเดียว …. ฝันดีดาวเต็มฟ้า ไม่มีช้างให้ล่านะ 555+ เช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยความที่อากาศตอนเช้าจะปิด… เลยทำให้เราไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งหากมาแล้วโชคดีอากาศเปิดๆ ลานสนภูสอยดาว จะสามารถชมวิวได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก โดยพวกเราตื่นแบบชิลๆ ส่วนนักท่องเที่ยวคนอื่นที่ตั้งใจขึ้นยอดภูก็เตรียมตัวกัน แต่เรานั้นไม่คิดเปลี่ยนใจแน่นอน เมื่อได้ยินว่า เส้นทางการเดินไปนั้น โหดร้าย … หนักหน่วง พวกเราเลยอยู่ชิลล์ ถ่ายรูปบนลานสนสามใบจะงดงามกว่าแน่นอน
เดินเล่นไปจุดที่ไว้สำหรับชมพระอาทิตย์ตก
ลานสนสามใบ – ภูสอยดาว เดินเล่น ถ่ายรูป ….. เห็นรูปแล้วบอกเลยว่า ไปลำบากกันเถอะค่ะ พอเริ่มบ่ายก็เอาเมนูที่เตรียมมาออกมาทำกิน ปิ้งหมู ทำตัวเหมือนอยู่หัวหินแล้วมาปิคนิค ฟิน… กินดี อยู่ดี ที่นอนเริ่ด บรรยากาศสวย……………….. ที่สำคัญ สัญญาณโทรศัพท์มี AIS – เขาสนับสนุนการวีดีโอคอลนะจ้าาา…………………. ยามเย็น พระอาทิตย์ตกที่ภูสอยดาวก็ห้ามพลาดนะ……………………..
ฝันดี …. คืนสุดท้าย ที่ภูสอยดาว …………………………. เช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นแต่เช้า กินข้าว เก็บของเตรียมลง…… อยากจะบอกว่า ในความคิดตอนแรกเมื่อตอนขาขึ้นมาถึงได้นั้น คิดเลยสบายแล้ววว ขาลงนี้สบายมาก….. แต่ผิดคาด โหดกว่าตอนขึ้นอีก ทั้งลื่น ทั้งชัน วิธีการลงที่ถูกต้องและอยากจะแนะนำผู้อ่านนั้นคือ การไถลตูดลงเหมือนเราเล่นสไลเดอร์ และการใช้มือคลานให้เหมือนเสือโคร่ง Bye ภูสอยดาว.. เช้าวันกลับฟ้าเปิด บริเวณทางลงช่วงเนินมรณะก็ส่งพวกเรากลับด้วยความสวยงามแบบเต็มตา
สิ้นสุดเส้นทาง ภูสอยดาว … นอกจากความสวยงามแล้ว การมาครั้งนี้ได้อีกอย่าง คือมิตรภาพ จากคนรอบข้าง ที่มีใจยอมตามกันมา ทั้งโดนหลอกหรือสมัครใจก็ตาม และมิตรภาพจากผู้ร่วมเดินทางที่ผ่านไปผ่านมา ซึ่งทำให้เรารู้แล้วว่า อ๋อ… ความลำบากที่เขามากัน คือ เสน่ห์ที่หาไม่ได้จากที่ไหนที่กูเคยไปมาเลย ……..
รักใคร ให้พามาภูสอยดาว
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
ปล. คำไม่สุภาพบางคำที่ใช้ต้องขออภัย…..