สวัสดีนักเดินทาง
วันนี้ Be Traveler มานำเสนอนาขั้นบันได ที่ไม่ต้องไปไกลถึงต่างแดน เพราะเมืองไทยก็สวยไม่แพ้ที่ใดเลย นั่นก็คือ.. นาขั้นบันไดป่าบงเปียง ที่แม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ที่เป็นท้องทุ่งนาสลับกับภูเขาสูงท่ามกลางธรรมชาติที่มีความสมบูรณ์มาก ใครมาที่นี้นอนค้างสักคืน บอกได้เลยว่า ได้พักผ่อน ชราทแบตพลังงานร่างกายได้ดีมากๆ
ช่วงเวลาในการท่องเที่ยวนาขั้นบันไดแห่งนี้
ช่วงการดำนาต้นข้าวยังเป็นต้นกล้า คือ ในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม / ข้าวเขียวขจีเต็มท้องทุ่งช่วงเดือนสิงหาคม – ต้นเดือนตุลาคม / ส่วนช่วงที่รวงข้าวเป็นสีทองก็มาในช่วงปลายเดือนตุลาคม และช่วงที่พวกเราไปคือ 24 – 25 สิงหาคม 2561 คือจะฟินกับความเขียวของรวงข้าวและสายฝนที่โปรยปรายมาเป็นระยะๆเช่นกัน และการมาเที่ยวที่นี้ หากอยากพักผ่อนสัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวบ้านอย่างแท้จริง พบแสงเย็น แสงเช้า สายฝนและสายหมอกก็ต้องค้างคืนสัก 1 คืน ฟินสุดๆแนะนำเลย …
การเดินทางมาที่นี้ – เขาว่ากันว่ามาได้ 2 เส้นทางแต่พวกเรากลัวเส้นทางมันจะโหดเกินไปสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา ก็เลยจะแนะนำทางเดียวเลย ขับรถยนต์ไปเส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์ เมื่อขับไปถึงด่านของอุทยาน เลี้ยวซ้ายไปยังทางแยกที่จะไปอำเภอแม่แจ่ม ไปอีก 12 กิโลเมตร พบป้ายน้ำตกแม่ปาน เลี้ยวขวาลงไปตามป้ายนั้น จะถึงลานจอดรถ หรือใครจับ GPS เหมือนพวกเราก็ “หน่วยพิทักษ์น้ำตกแม่ปาน (แม่แจ่ม)” ถึงแน่นอน ก็จอดรถไว้ตรงนี้แล้วโทรเรียกเจา้ของบ้านที่เราจะไปนอนมารับ เพื่อเข้าไปอีก 2 – 3 กิโลเมตร แต่เป็นทางที่สุดยอกมาก ต้องพึ่งพารถ 4 Wheel ของพี่ๆในพื้นที่อย่างเดียวเลย
พี่ศรชัย สุดหล่อกับรถคู่ใจ (คนขวานะ ส่วนคนซ้าย พ่อบ้านเพจของแม่บ้าน 55+) มารับเราตรงเวลาให้คำแนะนำ ช่วยเหลือทุกอย่าง และที่สำคัญเขาคือเจ้าของบ้านกระท่อมบนคันนาที่แสนพิเศษสุดๆของเราใน ทริบนี้..
ตลอดเส้นทาง 2 -3 กิโล ที่ใช้เวลาเกือบ 15 นาที ต้องบอกก่อนเลยว่า มันระทึกมากร่างกายทุกส่วนนั้นมีการเคลื่อนไหวโยกไปมาตลอดเวลา เส้นทางเป็นดินโคลน มีความลึก และบางจุดร่องดินมีความลึกมาก เส้นทางก็ไม่ใช่ทางตรงมีทางโค้ง ทางชัน สลับไปมา บางจังหวะรถไหลลื่นเคลื่อนตัวแบบรถหันข้างไปก็มี แต่พี่ศรชัย สุดยอดมาก ชินเส้นทางและก็มีบทสนทนาพูดคุยลดอาการกังวลลงได้เยอะเลย .. จากรูปสายตาพี่ศรชัยยังหวานอยู่เทียบกับเส้นทางตรงหน้านั้นคนละอารมณ์ 55+
พักที่ไหน – มานาขั้นบันได หมู่บ้านป่าบงเปียง ก็ต้องมาพักบ้านพี่ศรชัย … บ้านของพี่มี 2 หลัง อยู่บนคันนาด้านล่างที่เราต้องเดินลงไปอีก โดยหลังทางซ้ายมี 2 ห้องนอน นอนได้ 4 คน ส่วนหลังขวาเป็นห้องนอนใหญ่ ก็สามารถนอนได้ 3-4 คน มีห้องน้ำแยกออกมาจากตัวบ้านบ้านละ 1 ห้อง ที่สำคัญมีระเบียงสำหรับนั่งชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวของทุ่งนาและภูเขาได้แบบสุดสายตา คือฟินมาก
ส่วนราคานั้น Be Traveler เหมาทั้ง 2 หลัง 1500 บาท (อันที่จริงถ้าเอาแค่ 1 หลังราคาก็จะถูกลงไปอีกแต่แม่บ้านชอบแบบเป็นส่วนตัวเลยต้องเหมาพี่ศรชัยทั้งหมดเนอะ) รวมอาหารเย็น อาหารเช้า สำหรับ 2 คน + ค่ารถพี่ศรชัยที่พาพวกเราเข้าไปยังหมู่บ้าน 700 บาทไปกลับ (เห็นถนนก็ยอมจ่ายเถอะ จริงๆ มันน่ากลัวมาก)
เบอร์ติดต่อพี่ศรชัย โทร 097-1916131
“พักบ้านพี่ศรชัย ไม่มีไฟ นอนมุ้ง อาบน้ำลำธารจากบนเขา กินข้าวปิ่นโตใต้แสงเทียน”
มองจากภาพต้องบอกเลยว่า ทุกบริเวณของบ้าน สะอาดมาก ไม่มีกินอับเลย ที่นอนหอม หมอนหอม ห้องน้ำสะอาดมาก น้ำจากลำธารที่พี่เขาเอามาให้ใช้ คือการต่อท่อให้น้ำไหลจากด้านบนลงไปที่บ้าน ใสมาก น้ำแรง เย็นเจี๊ยบ 55+ ที่สำคัญอาหารฝีมือคุณแม่บ้านของพี่ศรชัยก็อร่อยสุดๆ ทั้งมื้อเช้ามื้อเย็น ให้เยอะมาก (กลัวไม่อิ่มเห็นพ่อบ้านเพจตัวใหญ่) เอาเป็นว่า บ้านของพี่ศรชัยสุดยอด..
วิวจากหน้าบ้านพี่ศรชัย – นั่งระเบียงแล้วเห็นอะไร ภาพมีคำตอบ
บ้านหลังทางซ้าย + ห้องน้ำหลังทางซ้าย (เมื่อมองลงมาจากด้านบน)
บ้านหลังทางขวา (เมื่อมองลงมาจากด้านบน)
ได้เวลาเดินเล่น – คุณสามารถเดินได้ทั่วเท่าที่คุณจะเดินไหว บ้านเล็กบ้านน้อยถ้ายังไม่มีคนเข้าพักก็เข้าไปนั่งเล่น ถ่ายรูปได้เลย โชคดี พวกเรามาถึงที่นี้ประมาณบ่ายโมง ยังไม่มีใครมาเลย ก็เป็นความโชคดีของเราที่จะถ่ายรูปมุมต่างๆมาฝากทุกคนเนอะ พื้นที่นากว้างมาก เขียวไปทั่วทุกพื้นที่ รวมทั้งวิวของภูเขาเป็นฉากหลังสวยงามสลับซับซ้อน สวยหมดทุกมุมวิวแบบ 360 องศา
แต่มาที่นี้ เรื่องสายฝนเป็นเรื่องธรรมดา หากเดินไปตามคันนาแล้วฝนตกก็พกเสื้อกันฝนสีสวยๆ ไปประกอบก็โดดเด่นที่สุดกลางทุ่งนาแล้ว จากรูปเมฆฝนก็จะสลับไปมา มืดบ้าง สว่างบ้างก็เป็นสีสันของธรรมชาติเนอะ
ฟ้าเริ่มสว่าง พวกเราไม่รอช้าเดินออกจากบ้านลงไปตามคันนาเพื่อแข่งกับเวลากลัวฟ้าจะปิดอีก แต่มันคุ้มมาก
จุดหมายของเราคือ บ้านริมภูเขาด้านล่างหลังนี้ … มองจากไกลๆระเบียงบ้านเหมาะแก่การถ่ายรูปมาก
ิ
นัดพี่ศรชัยไว้ว่าข้าวเย็นเราประมาณ 5 โมงเย็น เพราะอยากจะรีบกินรีบอาบน้ำ เพราะน้ำเย็นมาก หากอาบดึกก็เกรงว่าจะทรมานเกินไป 55+
แล้วปิ่นโตก็มาพร้อมกับสายฝน … ไข่เจียว หมูทอด ผัดหน่อไม้กับหมู และน้ำพริกปลากระป๋อง (ทำคล้ายๆน้ำพริกอ่อง) มาพร้อมผักสด มาเป็นปิ่นโต ส่วนขาวก็ขาวของชาวเขาเป็นเม็ดใหญ่ๆคล้ายข้าวญี่ปุ่น อ่ะได้เวลากินข้าวเคล้าบรรยากาศตรงหน้า
นั่งได้ไม่นานสายฝนก็มาทักทายพร้อมๆกับการร่ำลาของพระอาทิตย์ ความมืดก็มาปกคลุมจนทั่วบริเวณนั้น …
ได้เวลาจุดเทียน แล้วเข้านอน เอาจริงๆมาที่นี้ คนกรุงเทพอย่างพวกเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลยล่ะ นอนตั้งแต่ 1 ทุ่ม แล้วตื่นแต่เช้ามืด นับรวมชั่วโมงเป็นการนอนที่ยาวนานกว่า 10 ชั่วโมง แฮ้ปปี้มาก … ปล. นอนกางมุ่งด้วยนะยุงตัวใหญ่เท่าแม่ไก่เลยทีเดียว 55+
ตื่นเช้าตั้งแต่ ตี 5 ครึ่งเมื่อมารับบรรยากาศยามเช้า แต่เช้านี้ฝนตกลงมาเป็นสาย การพบเจอแสงอาทิตย์ก็จะยืดยาวออกไปเกือบๆ 7 โมงเช้า .. แต่ความสวยและเสน่ห์ของฤดูฝนกับที่นี้นั้น ไม่มีลดลงเลย อ่ะ เอาภาพมาฟ้องให้ดูว่าจริงไหม …
พอแสงเริ่มชัดขึ้น รูปทรงของภูเขาและสายหมอกที่พัดผ่าน .. บอกเลยว่า ดีมากจริงๆ …
หันซ้ายหันขวา รอบๆ บ้านก็ได้บรรยากาศของเพื่อนบ้านมาฝาก มันออกจากมืดๆ หน่อยแต่ก็สวยอย่างบอกไม่ถูก ป่ะ … จองตั๋วมาเที่ยวกัน
ยิ่งสว่างมากขึ้น หมอกก็เพิ่มปริมาณมากขึ้น … บ้านไหน หลังไหน มีกล้องก็งัดกันออกมาถ่ายกันคนละ แชะ สอง แชะ 55+ เอาจริงๆ ก็วิวเดิมแต่มันหยุดกดชัตเตอร์ไม่ได้ 55+
ไม่นาน อาหารเช้าก็มาส่ง … สำหรับมื้อเช้านอกจากอาหารในปิ่นโตก็จะมีน้ำร้อน 1 กระติก พร้อมทั้งกาแฟ โอวันติน ให้จิบคนละแก้วชมบรรยากาศสะด้วย
เช้านี้ ไข่เจียวแหนม / มะระแม้วผัดไข่ / ผัดวุ้นเส้น …. อิ่มมาก
อาบน้ำ เตรียมเก็บของ แต่สายหมอกเริ่มสายก็เริ่มเยอะขึ้น ฉากเดิมๆแต่ไม่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ สายหมอก
ได้เวลาต้องเดินทางกลับ พี่ศรชัยมารับตรงเวลา อ่ออ… ลืมบอกไปสัญญาณโทรศัพท์ที่นี้ AIS มีนะจ๊ะ … ไม่มีปัญหา Live สด อวดวิวสายหมอกกับเพื่อนบน Facebook สบายๆๆ …
ถ้าอยากพักใจ แล้วกลับมาใหม่นะ
ป่าบงเปียง …
ขอบคุณสำหรับการติดตาม / Be Traveler