สวัสดีนักเดินทาง
London สำหรับหลายๆคนคงรู้จักดี หรือบางคนกลายเป็นบ้านหลังที่ 2 ไปแล้วก็เป็นได้ แต่นี่เป็นครั้งแรกของพวกเรา Be Traveler ที่ได้ไปเยือน มันเลยตื่นเต้นนิดหน่อย … แต่เชื่อไหมว่า พวกเราได้ไปเที่ยวเมืองมาแล้วกี่เมืองก็ตาม กลับมาถึงเมืองไทย London เป็นเมืองที่เรานึกถึงเสมอ …
พวกเราเดินทางเข้ามาเมือง London ด้วยการขับรถเช่าเข้ามา ซึ่งเราเลือกที่จะคืนรถเช่าทันที แล้วมาใช้ระบบสาธารณะของที่นี้ สะดวกกว่าเยอะ …
ที่พัก เราเลือกพักย่านสถานีรถไฟ Kingscross เดินทางไปไหนก็สะดวก คึกคักดี โรงแรมที่เราพักก็คือ Studios2Let ห้องพักเล็กหน่อย แต่มีครัวทำอาหารได้ อยู่กลางเมือง ราคา 259.20 ปอนด์สำหรับ 3 คืน ไม่มีอาหารเช้า …
อาวุธต่อมาที่เราต้องมีคือ Tube บัตรสำหรับโดยสารรบบขนส่งสาธารณะ สำหรับพวกเราใช้บัตรนี้ นั่งรถไฟ รถเมล์ ไปทุกที่ใน London รวมทั้งเดินทางไปสนามบินวันกลับ…
การเดินทางท่องเที่ยวใน London ของพวกเราตื่นแต่เช้าทุกวัน และท้องฟ้าก็เป็นใจ เพราะจากที่หาข้อมูลมานั้น อากาศที่นี้เอาแน่อะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่
การได้ตื่นแต่เช้านั้น ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้เห็รบรรยากาศการออกมาทำงานของคนที่นั้น คึกคักและคนเยอะมาก ภาพที่เราเห็นคือ ทุกคนเดินเป็นแถวเดียว ไม่ได้ตั้งใจนะ แต่เป็นระเบียบ และด้วยการแต่งการที่คุมโทนสะส่วนใหญ่ทำให้ ดูเป็นงานเป็นการจริงจังยังไม่รู้ – ความเห็นส่วนตัวเนอะ 55+
สถานที่แรก ของเช้าวันหนึ่ง … St. Paul’s Cathedral เพียงแค่เดินผ่าน ได้แชะ ภาพมาฝากแล้วเด๋วค่อยย้อนกลับมา
สะพาน Millenium Bridge เป็นสะพานคนเดินข้ามแม่น้ำ Thames เปิดใช้งานเมื่อเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.2000 กับวิวสวยๆ ของ St. Paul’s Cathedral
วิวบนสะพาน
วิวสวยๆ ของ St. Paul’s Cathedral
เราเดินเลาะริมแม่น้ำ Thames ไปเรื่อยๆ ขอแนะนำ การมาเดินยามเช้ามันดีย์ …
เดินผ่านโบสถ์ Southwark Cathedral
เดินมาถึง London Bridge ขึนไปบนสะพานก็ได้เก็บภาพจากมุมนี้ได้หลายภาพเลยทีเดียว แต่เดินขึ้นไปบนสะพาน ผู้คนออกมาทำงานยามเช้า เดินไปทางเดียวกัน จังหวะการเดินเร่งรีบ นักท่องเที่ยวอย่างเราจะเดินสับเส้นทางตัดหน้ายังลำบาก 555+
จากสะพาน London Bridge ยามเช้าก็จะเห็น สะพาน Tower Bridge และ เรือ HMS Belfast
เราเดินเลียบริมแม่น้ำไป เพื่อไปสะพาน Tower Bridge ระหว่างทางก็เห็น Tower of London อยู่ฝั่งตรงข้าม ก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของ London อีกวิวเลย
สะพานหอคอย แห่งกรุงลอนดอน(London Tower Bridge) เป็นสะพานที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของกรุงลอนดอน เป็นสะพานยกและสะพานแขวนอยู่รวมกัน ทั้งยังประกอบไปด้วยหอคอย 2 หอ จึงทำให้สะพานแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สะพานหอคอย
เดิมทีสะพานทาวเวอร์บริดจ์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเส้นทางสำหรับการจราจรข้ามแม่น้ำเทมส์ของลอนดอน ซึ่งใช้เวลาในการสร้างนานถึง 8 ปี โดยแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1894 นั่นเอง โดยหอคอยแห่งนี้ได้ถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นหอคอยคู่และใช้สถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่มีความสวยงดงามและแสดงถึงการเป็นหอคอยลอนดอนได้เป็นอย่างดี
วิวจากบนสะพาน สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำเทมส์ได้อย่างกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
เมื่อเดินลงมามาอยู่ตรงริมแม่น้ำด้านหน้า Tower of London ก็จะเป็นจุดที่ London Tower Bridge สวยไม่แพ้จุดไหนเลย
มีที่นั่งเรียงรายริมแม่น้ำ และวิว London Tower Bridge โรแมนติกดีนะ
Tower of London หรือ หอคอยลอนดอน เดิมทีเป็นพระราชวังเดิมสร้างโดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1078 บนลานโล่งแจ้งที่เรียกว่า Tower Hill โดยหอคอยนี้ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ หอคอยแห่งนี้เป็นทั้งป้อมปราการ พระราชวัง ที่จำขังโดยเฉพาะสำหรับนักโทษที่มียศศักดิ์สูง คลังเก็บอาวุธ ท้องพระคลัง สวนสัตว์ โรงกษาปณ์หลวง หอเก็บเอกสาร หอดูดาว และเมื่อปี ค.ศ. 1303 เป็นต้นมาก็เปลี่ยนเป็นที่เก็บรักษามงกุฏและเครื่องราชาภิเษกของ สหราชอาณาจักร
จุดแรกที่เราจะเห็นเด่นชัดเลย คือ หอคอยขาว (White Tower) อยู่บริเวณตรงกลางหลังกำแพงชั้นนอกและชั้นใน โดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 สร้างอาคารหลังนี้เป็นแห่งแรก ใช้เป็นที่จัดแสดง อาวุธโบราณ และเสื้อเกราะ
สำหรับเราไม่ได้เสียเงินเข้าไปชม .. แต่ก็ยังได้มีโอกาสเห็นการพลัดเปลี่ยนเวรยามของทหารอังกฤษด้านหน้าทางเข้าสะด้วย ..
สำหรับใครที่มาอยากเข้าชมก็ซื้อตั๋วตรงอาคารนั้นได้เลย …
วิวเมือง……
ย้อนกลับไปที่ St. Paul’s Cathedral
มหาวิหารเซนต์ปอลล์ที่เห็นในปัจจุบันนี้ สร้างขึ้นใหม่แทนที่วิหารเดิมที่ถูกไฟไหม้ใหญ่ในลอนดอน ในปี ค.ศ.1666 โดยพระเจ้าชาร์ลที่ 2 รับสั่งให้ Christopher Wren ออกแบบ โดยเป็นการผสมผสานศิลปะ 2 อย่างเข้าด้วยกันคือ คลาสลิคและบารอคอิตาลี
ซึ่งที่ผ่านๆมาได้ใช้จัดงานของบุคคลสำคัญระดับประเทศมากมาย อย่างเช่น พิธีอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงไดอาน่า และเจ้าฟ้าชายชาร์ล เจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าหญิงเคท หรืองานฌาปนกิจของอดีตผู้นำประเทศอังกฤษอย่าง Sir Winston Churchill, นาง Margaret Thatcher
ลานด้านหน้าวิหาร
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง อาคารต่างๆ โดยรอบถูกระเบิดถล่มเสียหายยับ ยกเว้นเพียงมหาวิหารแห่งนี้เท่านั้นที่รอดมาได้อย่างปาฎิหาริย์ ส่วนรูปนี้ คือ หอระฆังคู่ Great Tom และ Great Paul ซึ่งเป็นระฆังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอังกฤษ ตีบอกเวลาบ่ายโมงทุกวัน
สำหรับใครที่อยากเข้าไปชมความงาม ราคาก็ตามนี้ .. ด้านในไม่ให้ถ่ายภาพนะจ๊ะ
จากนั้น เราจะไปเดินเล่นตลาดแบบอังกฤษกัน นั้นคือตลาด Borough Market โดยเราขึ้นรถเมล์จากด้านข้างของวิหาร นั่งสาย 17 ไปลงป้าย London Bridge จอดตรงตีนสะพานเลย แล้วเราก็เดินไปตลาดได้สบายๆ
เดินผ่านโบสถ์ Southwark Cathedral อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นด้านหน้า
Borough Market ตลาดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นตลาดอาหารที่เก่าแก่ และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในลอนดอน ส่วนตัวแล้วพวกเรา 2 สามีภรรยาชอบการเดินตลาดของทุกที่ที่เราไป ถ้ามีโอกาสได้เดิน เพราะได้เห็นวิถีชีวิต การกินการอยู่ ผักผลไม้แปลกๆ สีสันของสินค้าและผู้คน และที่นี้ก็ทำให้เราไม่ผิดหวังเลย โดยเฉพาะของกิน
รีวิตลาด Borough Market ฉบับเต็ม ————————————————- Borough Market
………………….Love you Borough…………………….
อยากรู้ว่า กินร้านไหน อร่อยแค่ไหน ตลอดคึกคักไหมกดตามลิงค์จ๊ะ
รีวิตลาด Borough Market ฉบับเต็ม ————————————————- Borough Market
สำหรับเช้าวันใหม่ เราจะเที่ยวอีกฝั่งของแม่น้ำ Thames ใช้บริการ Tube เช่นเคย ออกกันแต่เช้ามืด สถานีรถไฟก็ยังไม่คึกคัก แต่ถ้าช้าอีกนิดเวลาเร่งด่วนอีกนิดนั้น จะไม่ได้ภาพนี้มา
เรามาเริ่มกันที่ WESTMINSTER BRIDGE กับวิว Big Ben ที่กำลังซ่อมแซม และ London Eye ยามเช้า
London Eye
WESTMINSTER กับ BigBen
เดินข้ามสะพานไป Westminster Abbey เดิมเป็น Abbey แต่ปัจจุบันเป็นโบสถ์ในนิกายแองกลิคันที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ในนครเวสต์มินสเตอร์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สถาปัตยกรรมที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแบบสถาปัตยกรรมกอทิกเป็นส่วนใหญ่นอกจากหอคอยที่เป็นสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิก เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกและที่ฝังพระบรมศพพระมหากษัตริย์อังกฤษและพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ ระหว่างปี ค.ศ. 1546 ถึง 1556 แอบบีย์ได้รับเลื่อนฐานะขึ้นเป็นอาสนวิหาร ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แอบบีย์นี้ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอารามหลวง (Royal Peculiar) หากจะเข้าชมด้านในก็ต้องเสียค่าเข้า ส่วนพวกเราเดินชมรอบนอกก็สัมผัสได้ถึงความอลังการและความสวยงามแล้ว…
ค่าเข้าชม 20 ปอนด์ London Pass เข้าฟรี
Westminster Abbey กรุง London
เดินผ่าน Crimea and Indian Mutiny memorial
จากนั้น เดินเข้าไปในสวน St. James’ Park สวนสาธาณะที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงลอนดอน เป็นสวนที่เราสองคนคิดว่าเป็นสวนที่นั่งชิลได้ดีทีเดียว ขนาดกำลังเครียดจากการที่สายการบิน Air France ยกเลิกไฟท์กลับก็ยัง ชิลล์………..
เดินเลาะไปกลางสะพาน Blue Bridge เพื่อถ่ายภาพ มองไปเห็น Duck Island และ Swire Fountain โดยมี Horse Guards อยู่เบื้องหลัง และยังมองเห็น London eye ด้วย
มองไปอีกด้านจะเป็นวิวของ Buckingham Palace แล้วเราก็สามารถเดินจากสวนทะลุไปด้านหน้าของพระราชวังได้เลย…
ความชิลล์ระหว่างทางภายในสวนสาธารณะแห่งนี้
Buckingham Palace
พระราชวังที่เป็นที่พำนักและเป็นที่จัดพิธีการสำคัญๆ ของอังกฤษ นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ก็เพื่อดูการเดินแถวเปลี่ยนเวรยาม ซึ่งจัดขึ้นเกือบทุกวันในเวลา 11.30 น.
เราเดินต่อไปเรื่อยๆ บนถนน Constitution Hill ตรงหน้าของเราก็จะเห็น Wellington Arch หรือเรียกชื่อหนึ่งว่าประตูชัย
จากนั้นเราเลี้ยวซ้าย เพื่อไปขึ้นรถเมล์ ไปย่าน Nothinghill เพื่อไปเดิน PORTOBELLO MARKET เป็นตลาดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน
ย่าน Nothinghill
ระหว่างทางเดิน ย่านนี้เจ้าดอกซากุระ หรือเปล่าไม่รู้ แต่มันเหมือน 555+ เบ่งบ้านเต็มหน้าบ้านผู้คนย่าน Nothinghill มันทำให้ดูโรแมนติกไปอีก…
Portobello Market เป็นตลาดขายของโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 150 ปี ตั้งอยู่บนถนน Portobello ในแต่ละวันของขายจะแตกต่างกัน โดยวันที่เราไปของน้อย เพราะเป็นวันอังคารแต่จะให้ดีใครจะมาที่นี้มาวันเสาร์ ขอบอกของจะครบแบบตื่นตาตื่นใจมาก ..
มาที่นี้ ของขึ้นชื่อ คือ Portobello Crepe ที่มีเอกลักษณ์ที่แป้งเครปเนื้อหนานุ่ม เราเลือกสั่ง Nutella Strawberry Crepe ชิ้นใหญ่มาก 1 ชิ้นกิน 2 คน อิ่ม แต่เราเลือกที่จะสั่งคนละชิ้น อีกชิ้นเราสั่งเป็น Nutella กับกล้วยหอม อร่อยมากนะ แต่ อิ่มไป 555+
เดินกันต่อ ลักษณะของตลาดเหมือนเราเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ หรือถ้าใครมาจากอีกด้านของตลาดก็เหมือนเดินลงเนิน แต่บรรยากาศดีเลยทีเดียว
แถมระหว่างทางที่เดินผ่าน Meanwhile Gardens กับวิวคลองของอังกฤษ ที่ประดับประดาไปด้วยบ้านอยู่อาศัยบนเรือ.. สวยดีนะ
และยามเย็น กับที่นี้-ขึ้นไปชทเมืองบน London Eye โดยเราเลือกที่จะซื้อตั๋วออนไลน์ก่อนเดินทางไป โดยเลือกเวลาที่เราจะขึ้นเป็นช่วงเย็น เวลาที่เราเลือกคือ 17.45 – 18.00 ก็จ่ายเงินออนไลน์ไปคนละประมาณ 12 ปอนด์ ซึ่งเมื่อไปถึงเราก็นำรหัสไปปริ้นตั๋วออกมาแล้วไปยืนต่อคิวขึ้น…
ไปปริ้นตั๋วมาแล้วก็มายืนต่อคิวนะ ดูคิวอาจยาวแต่เคลื่อนตัวเร็วไปคอยนานเท่าไหร่ ปล. เรา 2 คนชอบการบริการและความน่ารักของพนักงานที่นี้ สนุกสนาน ยิ้มแย้มดี แต่ไม่รู้ใครไปมาเจอแย่ๆกว่าเราหรือเปล่านะ 55+
บรรยากาศด้านใน ก็หมุนวนสลับที่กันแบ่งกันถ่ายรูป มุมนั้น มุมนี้ …. นอกจากนี้ก็มีจอมอนิเตอร์บอกตำแหน่งของสถานที่ต่างๆ รายละเอียดของสถานที่นั้นๆ
วิวสะพาน Westminster Bridge กับการจราจรยามเย็น
WESTMINSTER
Buckingham Palace จากมุมสูง…
มหานคร London จากกระจกบน London eye
ใครที่ไม่เคยมา London แนะนำลองคืนดู คุยก็จะได้เห็นมหานครแห่งนี้ในอีกมุม เอาให้สะดวก็ซื้อตั๋วล๊อคเวลามา ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากคลิ๊ก …… London eye ticket
เมื่อแสงเริ่มหมด จุดสุดท้ายที่เราอยากจะไปสัมผัส จาก มหานคร London แห่งนี้คือ ความโรแมนติกของแสงไฟยามค่ำคืนที่ London Tower Bridge โดยเราเลือกที่จะเดินริมฝั่งแม่น้ำจาก London eye ไปที่ London Tower Bridge ไกลอยู่ แตาระหว่างทางสัมผัสกิจกรรมของคนอังกฤษได้เยอะเลย
สวนสนุก น้อยๆ ก็มี …………………
มี Steet Food / Shows การแสดงต่างๆ คึกคักน่าดู……..
หรือจะมาเดินชิว ดูหนังสือมือสอง ริมแม่น้ำ Thames ก็ดูเป็นคนอังกฤษดีนะ .. เพราะสิ่งหนึ่งที่พวกเราเห็นได้ชัดมากของคนที่นี้ นอกจากการกินเบียร์ แล้วก็กินเบียร์แล้ว คือ การอ่านหนังสือ … อ่านเก่งมากใช้เวลาว่างจากการโดยสารรถสาธารณะ หรือการนั่งร้านกาแฟ หรือคาเฟ่ต่างๆ คนที่นี้เขาเลือกที่จะอ่านหนังสือ ดีนะ..
ความชิลล์ริมฝั่งแม่น้ำ Thames
ปักหลักรอแสงไฟยามค่ำคืนที่ London Tower Bridge แต่ตรงนี้ก็คึกคักไปด้วยกลุ่มคนจำนวนมากที่ออกมารวมตัวกันออกกำลังกาย
รอ แสงไฟ กับความหนาวที่ลมพัดตลอดเวลา มันชั่ง… มีความสุขอะไรอย่างนี้ 55+
และ แล้ว เธอ ก็ มา …………………………………………………แสงไฟยามค่ำคืนที่ London Tower Bridge
สำหรับพวกเรา เมื่อเราก้าวเข้าเมืองนี้ในวันแรก มันดูเร่งรีบ มันระแวงว่าเราต้องหลง ต้องงงงแน่ๆ แต่จากการได้สัมผัสตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผ่านสายตา ผ่านเลนส์ของพวกเรา เมืองนี้มีเสน่ห์ และเมื่อกลับมาถึงเมืองไทย รู้สึกคิดถึงและอยากกับไปเดินอีก และคิดว่ายังมีถนนอีกหลายสาย ร้านอีกหลายร้าน ตลาดอีกหลายแห่งรอเราไปสัมผัสอีกเยอะ…. แต่ขอเก็บเงินก่อนนะ
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
Be Traveler